วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

สาระน่ารู้จ้า ^^

เรามีทุกปฏิบัติการที่ช่วยต่อต้านความหมองคล้ำและกำจัดจุดด่างดำ เพื่อนำไปสู่ผิวขาวกระจ่างใส อะไรเป็นอะไร และได้ผลแค่ไหน ตามเราไปพิสูจน์กันเลย

          ก่อนอื่น...มาทำความเข้าใจเรื่องสีผิวกันหน่อย

          อย่าเพิ่งเบื่อนะ ถ้าเราจะเริ่มต้นด้วยการเลกเชอร์สักหน่อยว่า สีผิวหมองคล้ำและจุดต่างดำที่คุณๆ ไม่ชอบกันนั่นน่ะเกิดมาจากไหน เพราะถ้าไม่ "รู้เขา รู้เรา" เสียก่อน จะต่อสู้กับมันได้ยังไงล่ะ...จริงมั้ย

          ความจริงแล้วไอ้เจ้าความหมองคล้ำหรือจุดด่างดำที่คุณไม่ชอบกันน่ะ มันเกิดขึ้นมาจากกลไกการป้องกันตัวเองของผิวเรานะ พูดง่าย ๆ ก็คือการสร้างเม็ดสีผิวหรือที่เรียกว่าเมลานิน (จำคำนี้ไว้ให้ดีล่ะ นี่คือคีย์เวิร์ดของเรื่องสีผิวเลยนะ) เป็นการสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องผิวจากอันตรายจากภายนอก โดยเฉพาะจากรังสียูวีตัวร้ายนั่นไง

          โดยผิวหนังคนเราจะมีกลุ่มเซลล์ที่เรียกว่าเมลาโนไซต์ (Melanocytes) ซึ่งอยู่ชั้นล่างของชั้นผิวหนังกำพร้า ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการสร้างเม็ดสีผิว โดยมีเอนไซม์ไทโรซิแนส (Tyrosinase) เป็นตัวสั่งการว่าจะให้เม็ดสีเมลานินที่ผลิตขึ้นมานั้น มีความจางหรือเข้มขนาดไหน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านเชื้อชาติพันธุกรรม และปัจจัยทางสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ อย่างเช่น หญิงตั้งครรภ์ จะมีการหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างเม็ดสีขึ้นมามากกว่าปกติ นอกจากนี้ การกินยาคุมกำเนิด และการใช้เครื่องสำอางบางชนิดที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศ ก็มีส่วนทำให้ผิวหมองคล้ำแลดูไม่สดใสด้วย ผู้คนในแวดวงความงามสมัยนี้ จึงให้ความสนใจเป็นพิเศษกับเอนไซม์ไทโรซิแนสตัวนี้แหละ เพราะเชื่อว่าถ้าควบคุมการทำงานของมันได้ ปัญหาความหมองคล้ำหรือการสร้างเม็ดสีผิวผิดปกติก็จะหมดไป

          ผิวไม่ขาวกระจ่างใสจัดการยังไงได้บ้าง

          อย่างง่าย ๆ เลยก็คือการปกป้องแสงแดด เพราะรังสียูวีเป็นต้นตอสำคัญของสีผิวหมองคล้ำ และจุดด่างดำทั้งหลาย ง่ายขนาดนั้นเลยล่ะ

          แต่ถ้าเกิดผิวหมองคล้ำและจุดด่างดำไปแล้ว การจัดการกับความหมองคล้ำก็มีหลายระดับด้วยกัน เริ่มตั้งแต่การใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อผิวกระจ่างใส ที่มีอยู่อย่างมากมายในท้องตลาด ซึ่งเราจะพูดถึงกันต่อไป

          แต่ถ้ามีปัญหาสีผิวที่ค่อนข้างรุนแรงประมาณฝ้าเต็มใบหน้า ผิวหมองคล้ำเหมือนโดนของ ระดับนี้ก็อาจต้องใช้เความช่วยเหลือจากมืออาชีพอย่างแพทย์ผิวหนัง ซึ่งไม่ได้รักษาแต่สิวนะจ๊ะ ผิวหมองคล้ำต่างดำหนัก ๆ เข้า หมอก็รักษาด้วยเหมือนกัน ซึ่งอาจจะรักษาด้วยการใช้ยาทา การใช้สารเคมีขัดลอกผิว ไปจนถึงการใช้บริการของเครื่องมือไฮเทคอย่างแสงเลเซอร์ชนิดต่าง ๆ เพื่อขจัดชั้นผิวที่เสียหายออกไป ทำให้เหลือชั้นผิวที่สุขภาพดีกว่าแล้วก็ขาวกระจ่างใสกว่า แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ต้องอาศัยหมอมืออาชีพที่มีประสบการณ์ อย่าได้สุ่มห้าสุ่มหกไปทำกับหมอเถื่อนเชียวนะ เพราะหน้าอาจจะ "พัง" จนหมดอนาคตได้

          ทา ๆ ถู ๆ...ผลิตภัณฑ์เพื่อผิวกระจ่างใสมีอะไรกันบ้าง

          ถ้าผิวยังไม่หมองคล้ำขนาดหนัก อาศัยความช่วยเหลือจากผลิตภัณฑ์เพื่อผิวกระจ่างใสไปก่อนก็โอ.เค. นะ เพราะผลิตภัณฑ์ตามเคาน์เตอร์ มักจะมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่ไม่รุนแรงเท่ากับยา สามารถซื้อหามาทาเองได้ ถ้าเลือกให้เหมาะสมกับผิวและสภาพปัญหา ก็สามารถช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้นมาได้ในแบบที่ไม่มีอันตราย โดยผลิตภัณฑ์เพื่อผิวกระจ่างใสที่มีขายตามเคาน์เตอร์นั้น ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีการทำงานอยู่สามแบบนั่นก็คือ

          1. หยุดยั้งการสร้างเม็ดสี

          มีส่วนผสมหลายชนิดที่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ เช่น Arbutin เป็นสารสกัดจากพืชชนิดหนึ่ง ปกป้องผิวจากความเสียหายของอนุมูลอิสระ และยับยั้งการสร้างเมลานินด้วยการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซีแนส การทำงานของอาร์บูตินส่งผลค่อนข้างช้า แต่มีผลข้างเคียงน้อยมาก

          ถัดมาก็คือ วิตามินซี ซึ่งทั้งช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซีแนส และช่วยฟอกสีผิวให้จางลงด้วย แต่ข้อเสียของวิตามินซีคือ มันจะลดประสิทธิภาพได้ง่ายเมื่อโดนแสง แต่ด้วยวิทยาการที่ก้าวหน้า จึงมีการพัฒนาอนุพันธ์ของวิตามินซี ให้มีฤทธิ์เทียบเท่ากับตัววิตามินซีเอง แต่มีความคงตัวที่ดีขึ้นมาใช้ เช่นเดียวกับ Kojic Acid ก็เป็นสารสกัดอีกตัวหนึ่ง (ได้มาจากกระบวนการหมักข้าวเพื่อเอาไปทำสาเกในญี่ปุ่น) ที่ช่วยหยุดยั้งความหมองคล้ำและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระได้ด้วย แต่ก็เป็นสารที่ไม่ค่อยเสถียรเหมือนวิตามินซี จึงมีการนำเอา Kojic Dipalmitate มาใช้แทน

          นอกจากนี้ก็ยังมี Azelaic Acid กรดที่พบในธัญพืช เช่น ข้าวสาลี ข้าวไรย์ และบาร์เลย์เคยใช้เพื่อรักษาสิว แต่มีงานวิจัยที่แสดงว่ามันช่วยแก้ปัญหาสีผิวได้ด้วย โดยสามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีได้ เช่นเดียวกับ Tretinoin ซึ่งมักใช้ในเรื่องการต่อต้านริ้วรอย และมีงานวิจัยบ่งชี้ว่าสามารถช่วยในเรื่องการรักษาสีผิวได้เช่นกัน

          2. ผลัดเซลล์ผิว

          ส่วนใหญ่จะใช้ส่วนผสมที่เป็นกรดอ่อน ๆ อย่างกรดอัลฟ่าไฮดร็อกซี่หรือเอเอชเอ กรดเบต้า-ไฮดร็อกซี่หรือบีเอชเอ และเรตินอล โดยกรดพวกนี้มีคุณสมบัติในการช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าๆ ด้วยการกระตุ้นให้เซลล์ผิวเก่าที่เกาะทับถมกันอยู่นั้น แยกออกจากกัน และหลุดลอกออกไปเร็วขึ้น ขณะเดียวกันก็จะกระตุ้นให้สร้างเซลล์ผิวใหม่ๆ ขึ้นมาแทนที่ แถมยังช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ด้วย ส่งผลให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนและขาวกระจ่างใสกว่าเดิม แต่ถ้าใช้กรดผลไม้ต่างๆ นี้ คุณจะต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัด เพราะถ้าโดนแดดเมื่อไหร่ก็จะเกิดปฏิกิริยาระคายเคือง ซึ่งอาจจะส่งผลร้ายต่อผิวได้ในที่สุด ทางที่ดีก็ควรใช้ควบคู่กับครีมกันแดดเสมอ

          3. ฟอกสีผิวให้จางลง

          นอกจากการแก้ปัญหาสีผิวจากเอนไซม์ไทโรซีแนสที่เป็นต้นตอแล้ว อีกวิธีการหนึ่งที่มักถูกใช้ควบคู่กันไปด้วยก็คือ การทำให้จุดด่างดำที่เกิดขึ้นบนผิวจางลง ด้วยการใช้ส่วนผสมที่มีฤทธิ์ในการฟอกสีผิว อย่างเช่น Licorice หรือสารสกัดจากชะเอม ซึ่งมีฤทธิ์ในการทำให้สีผิวจางลงได้ หรือส่วนผสมบางอย่างที่ยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว ก็ทำหน้าที่ในการฟอกสีผิวด้วย เช่น วิตามินซี ซึ่งทำให้วิตามินซีและอนุพันธ์วิตามิซี ได้ชื่อว่าเป็นส่วนผสมยอดนิยมในผลิตภัณฑ์เพื่อผิวกระจ่างใสทั้งหลายเลยทีเดียว

          สารที่มีฤทธิ์ในการฟอกสีผิวที่ได้ชื่อว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดอีกตัวหนึ่งที่ต้องพูดถึงในที่นี้ ก็คือไฮโดรควิโนน หลายคนคงเคยได้ยินว่าสารตัวนี้เป็นสารต้องห้ามในเครื่องสำอางที่มีขายตามเคาน์เตอร์ เพราะได้มีการค้นพบผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์หลายอย่างของสารตัวนี้ นั่นคือก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวจนทำให้เกิดอาการหน้าแดงและเปลี่ยนเป็นสีดำได้ในที่สุด

          ถึงแม้สารไฮโดรควิโนนจะมีผลข้างเคียงที่ก่อให้เกิดอันตรายได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไฮโดรควิโนนถือเป็นสารฟอกสีผิวที่ทรงประสิทธิภาพมาก และในสหรัฐอเมริกายังมีการอนุญาตให้ใช้ในเครื่องสำอางตามเคาน์เตอร์ได้ในปริมาณไม่เกิน 2% แต่ในเมืองไทยนั้นถือเป็นสารที่ห้ามใช้โดยสิ้นเชิงในเครื่องสำอาง แต่อนุโลมให้ใช้ได้ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะฉะนั้นระวังเครื่องสำอาง “เถื่อน” ที่แอบผสมสารต้องห้ามตัวนี้กันให้ดีล่ะ

          Tip อยากใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อผิวขาวใสหลาย ๆ อย่างได้หรือเปล่า

          ก็ได้อยู่ แต่ต้องดูด้วยว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นมีส่วนผสมที่เน้นการทำงานแบบไหน ถ้าเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมซึ่งทำหน้าที่อย่างเดียวกัน จะทาซ้อนๆ ทับๆ กันไปหลายตัวก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไรเพิ่มเติม แต่ถ้าเลือกผลิตภัณฑ์ที่ทำงานในส่วนที่ต่างกัน คุณก็จะได้ประโยชน์จากมันเพิ่มขึ้นด้วยยังไงล่ะ

          Did Brightening Mask

          มาส์กตำรับทำเองง่าย ๆ ราคาไม่แพง ที่ก็สามารถช่วยให้ผิวกระจ่างใสได้เหมือนกัน

          Papaya Brightening Mask

          มาส์กพอกหน้าตำรับนี้อุดมไปด้วยกรดผลไม้ และเอนไซม์ที่ช่วยย่อยสลายเซลล์ผิวเก่าๆ ให้หลุดลอกออกไป  ขั้นแรกก็หั่นมะละกอดิบเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ ? ถ้วย ผสมกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ช้อนชา และน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงในเครื่องปั่นเพื่อปั่นจนเป็นนื้อละเอียด จากนั้น นำมาทาบนใบหน้าทิ้งไว้ 8 ถึง 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

          Milk Brightening Mask

          มาส์กพอกหน้าตำรับนี้ใช้กรดแล็กติคในน้ำนมเป็นตัวผลัดเซล์ผิวเก่าๆ ออกไป ด้วยขั้นตอนต่อไปนี้ ใส่แป้งถั่วเขียว 1 ช้อนชาลงในชามสะอาด แล้วเติมผงขมิ้นลงไปหนึ่งหยิบมือต่อด้วยการบีบน้ำมะนาวลงไปประมาณ 4 หยด และน้ำมันมะกอกอีกครึ่งช้อนชา คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันก่อนใส่นมสด 1 ช้อนชา ตามลงไป คนส่วนผสมต่อไปจนเข้ากันดี แล้วนำมาทาลงบนใบหน้าทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง หรือจนกว่าผิวหน้าจะรู้สึกตึงๆ ล้างออกด้วยน้ำอุ่นก่อนจะตบท้ายด้วยน้ำเย็น






ใคร ๆ ก็รู้ว่าการขัดผิวช่วยกำจัดเซลล์ผิวเก่า เผยให้เห็นผิวใหม่ที่สดใสกว่า และทำให้การทาครีมบำรุงต่าง ๆ ซึมซาบได้ดีขึ้น ฉะนั้น จึงควรหาเวลาขัดผิวให้ได้สัปดาห์ละครั้ง และยิ่งคุณใช้ส่วนผสมดี ๆ ในการขัดผิว ก็จะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้ด้วย อย่างเช่นสครับขัดผิวตำรับนี้ที่ใช้ขิงและงาเป็นส่วนผสมหลัก วิธีการคือ

          สับขิงที่ยาวประมาณหนึ่งนิ้วให้ละเอียด หรือนำเข้าเครื่องบดก็ได้

          จากนั้น เติมโสมชนิดผงลงไป 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 1/2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันงา 4 ช้อนโต๊ะ น้ำมันกุหลาบ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันหอมระเหยกลิ่นส้มแมนดาริน 5-10 หยด แล้วคนให้เข้ากัน

          ในขณะที่คุณอยู่ในอ่างอาบน้ำหรือใต้ฝักบัว ก็นวดส่วนผสมนี้ลงบนผิวกายเป็นแนววงกลม แล้วล้างน้ำออก อย่าลืมสูดหายใจลึกๆ เพื่อให้กลิ่นหอมจากขิงและน้ำมันหอมระเหยต่าง ๆ ช่วยทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย




ใบหน้ากระจ่างใส ชวนมองล้วนเป็นที่ต้องการของทั้งชายและหญิง วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์ จึงนำวิธีการดูแลรักษาใบหน้าให้สวยใสไร้สิวมาบอก...
            รักษาความสะอาด ควรล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2-3 ครั้ง เพื่อลดความมัน

            หลังทำกิจกรรม ที่มีเหงื่อออกมาก ควรล้างหน้าทุกครั้ง เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรก ความมัน และแบคทีเรียบนใบหน้า

            ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ที่มีสามารถขจัดแบคทีเรีย อันเป็นสาเหตุของการเกิดสิว หรือที่มีส่วนผสม ของสารสกัดจากพืชธรรมชาติ ที่เหมาะกับสภาพผิว

            ระหว่างที่เป็นสิว ควรงดใช้ผลิตภัณฑ์ใส่ผม หรือเครื่องสำอางที่มีความเหนียวเหนอะหนะ  เพราะสารในผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะตกค้างอยู่แถวๆตีนผม ซึ่งจะทำให้เกิด การระคายเคืองและเป็นสิว

            ห้ามบีบหรือแกะสิวเป็นอันขาด เพราะจะทำให้เกิดรอยแผลเป็นที่รักษาได้ยาก

            ควรรักษาสุขภาพ โดยทั่วไปให้ดีอยู่เสมอ เช่น รับประทานผัก ผลไม้ น้ำผลไม้ และน้ำสะอาด ให้มากๆ พยายามอย่าเครียดหรือนอนดึก

           อยากผิวสวยไร้สิว ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้ดู










 




 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น