วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

วิธีทําให้ผมยาวเร็ว หลากวิธีเร่งผมยาว สวยทันใจ

ผมยาวสวย ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้สาว ๆ ดูมีบุคลิกดีและมีเสน่ห์ หากสาวคนไหนมีผมที่ยาวสวย ถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่งเลย เพราะหนุ่ม ๆ หลายคนแอบเผยว่าชอบผู้หญิงผมยาว แหม... สาว ๆ ได้ยินแบบนี้แล้ว ก็คงจะรีบหา วิธีทําให้ผมยาวเร็ว ได้ทันใจกันเลยทีเดียว

          โดยปกติแล้ว ผมคนเราจะยาวประมาณครึ่งนิ้วต่อเดือน แต่หลายคนก็อยากให้มันไม่ปกติ ให้ผมยาวเร็ว จึงพยายามสรรหา วิธีทําให้ผมยาวเร็ว ทั้งวิธีล้ำสมัย และวิธีแบบวิถีธรรมชาติ เช่น การต่อผม หมักทรีตเม้นท์ อบไอน้ำ ทำสปา ฯลฯ แล้วแต่ความเชื่อ และความชอบของแต่ละบุคคล วันนี้เราจึงมี วิธีทําให้ผมยาวเร็ว และสุขภาพดีมาแนะนำอย่างหลากหลาย ให้สาว ๆ ลองเลือกดูค่ะ ว่าชอบแบบไหนกัน  

          1. วิธีทําให้ผมยาวเร็ว ด้วยการออกกำลังกาย นั่นก็คือการออกกำลังกายให้เส้นผม โดยการหมั่นนวดศีรษะขณะสระผม หรือออกกำลังกายโดยการก้มศีรษะลงค้างไว้  30 วินาที ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา ทำเช่นนี้ทุกวันจะทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงเส้นผมที่ศีรษะ ใช้แปรงผมที่มีขนอ่อนนุ่ม แปรงผมอย่างเบา ๆ โดยเลือกใช้หวีซี่ใหญ่ และห่างในการหวีผม และไม่หวีผมในขณะที่ผมยังเปียกอยู่ แต่หวีในช่วงที่ผมแห้งแทน การหวีผมอย่างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้เส้นผม แข็งแรง และยาวเร็วขึ้นด้วย

          2. วิธีทําให้ผมยาวเร็ว ด้วยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะ ไบโอติน หรือวิตามิน H ซึ่งมีมากใน ตับหมู ไตวัว เนื้อวัว ปลาเนื้อขาว น้ำมัน ปลา ข้าวกล้อง ข้าวโพด รำข้าวสาลี ไข่ นม เนย โยเกิร์ต จำพวกผักก็เป็น ดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี เห็ด แครอท เป็นต้น
          3. วิธีทําให้ผมยาวเร็ว ด้วยการเล็มผม บางครั้งการตัดผมที่เสียออกไปบ้าง หรือการเล็มผมบ่อย ๆ ก็จะช่วยให้ผมยาวเร็วขึ้นได้ดี นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นการกำจัดผมแตกปลาย ไปในตัวด้วยค่ะ

          4. วิธีทําให้ผมยาวเร็ว ด้วยการต่อผม ถือเป็นวิธีที่ง่ายและเร่งรัดที่สุด เหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการผมยาวเร็วทันใจ รับรองว่า ได้ยาวสมใจแน่ ๆ การต่อผมสามารถทำได้ที่ร้านทำผมที่มีบริการต่อผมดู หรือเลือกใช้บริการร้านต่อผมที่มีอยู่ทั่วไป แต่ขอให้เลือกร้านที่ค่อนข้างมีประสบการณ์ในการต่อผมมาก ๆ เพราะการต่อผม ต้องใช้สารเคมีมากมายในการทำ ซึ่งหากช่างทำผมไม่รู้จริง ก็อาจทำผมสวย ๆ ของเราเสียได้นะคะ วิธีนี้เอาเป็นว่าแนะนำเป็นทางออกสุดท้ายแล้วกันนะคะ
          เอาล่ะค่ะ จะผมยาว ผมสั้น ก็ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่า เราจะมีความมั่นใจและพร้อมที่จะเสริมสร้างบุคลิกให้ดีมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าใครอยากผมยาวเร็วจริง ๆ ก็ลองนำ วิธีทําให้ผมยาวเร็ว ที่แนะนำ ไปปฏิบัติกันดูได้ ทีนี้สาว ๆ เลือกวิธีได้ตามใจชอบเลยว่าจะเร่งผมยาวด้วยวิธีไหน และสิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้นั่นก็คือ การที่จะมีผมที่สวยสุขภาพดี จะต้องมีดีมาจากสุขภาพข้างในด้วยนะจ๊ะ

          อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ไม่ได้จำกัดไว้เฉพาะสาว ๆ เท่านั้นนะคะ คุณผู้ชายที่อยากให้ผมยาวเร็ว ก็สามารถนำไปใช้ได้ค่ะ


แหล่งที่มา  http://women.kapook.com/view11129.html

ทำไมน้ำทะเลถึงเค็ม

ทำไมน้ำทะเลถึงเค็ม

การที่ทะเลมีรสเค็ม เนื่องจากการรวมตัวของน้ำละลายเกลือแร่ ที่ถูกพัดพามาจากพื้นทวีป และใต้ทะเล โดยความเค็มของทะเลจะมีความคงที่ สาเหตุที่ความเค็มของน้ำทะเลไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลานั้น ก็เพราะในมหาสมุทรมีกระบวนการของธรรมชาติที่รักษาระดับความสมดุลของเกลือแร่ คือถ้าหากว่าธาตุชนิดใดมีในน้ำมากเกินกว่าปกติ ก็จะถูกกำจัดออกจากน้ำทะเล โดยการแยกตัวออกเป็นของแข็ง ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีธาตุใดละลายน้ำน้อยเกินปกติ เกลือแร่ของธาตุนั้นในรูปของแข็ง ก็จะถูกละลายกลับสู่น้ำทะเล ดังนั้น ความเค็มของน้ำทะเลจึงคงที่มาหลายล้านปีแล้ว
          น้ำทะเลเค็มเพราะมีเกลือหลายชนิดละลายอยู่ ที่สำคัญที่สุดได้แก่ เกลือแกง ซึ่งมีชื่อทางเคมีว่าโซเดียมคลอไรด์ หรือ มีสูตรเคมีว่า NaCl น้ำทะเล โดยเฉลี่ยแล้วมีเกลือร้อยละ 3.5 หรือน้ำทะเล 1 ลิตรจะมีเกลือละลายอยู่ประมาณ 30 กรัม ยิ่งไปกว่านั้น ทะเลในแผ่นดินใหญ่หรือทะเลปิด ซึ่งไม่เชื่อมต่อกับทะเลหรือมหาสมุทรทั่วไป เช่น ทะเลเมดิเตอเรเนียนหรือทะเลแดง เกลือละลายอยู่มากกว่าทะเลหรือมหาสมุทรทั่วไป
          ส่วนทะเลที่มีความเค็มมากที่สุดได้แก่ ทะเลเดดซี(Dead Sea) ในประเทศอิสราเอล ซึ่งมีเนื้อที่เพียง 340 ตารางไมล์ เท่านั้น โดยมีปริมาณเกลือมากถึง 10,523,000,000 ตัน ถ้าเราสามารถระเหยเอาน้ำทั้งหมดออกไปจากทุกทะเลและมหาสมุทรในโลกได้จนแหล่งน้ำเหล่านี้แห้งลงจะพบว่า เกลือที่เหลืออยู่จะมีปริมาณมากมายมหาศาลจนเหลือเชื่อ ถ้านำเกลือเหล่านี้ทั้งหมดมารวมเป็นกอง จะได้กำแพงที่สูง 180 ไมล์ และหนา 1 ไมล์ หรือมวลของเกลือทั้งหมดมีขนาดประมาณ 15 เท่าของมวลทั้งหมดของพื้นที่ทวีปยุโรป
 
 

แนะนำโรงเรียนอำนาจเจริญ

วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

เรียวขาคู่งาม เสน่ห์คู่ผู้หญิง

       ผู้ชายมักให้ความสำคัญกับเรียวขาของหญิงสาว มาเป็นอันดับต้น ๆ เพราะเขาถือว่าเป็นเสน่ห์เตะตาแรกพบประสบเห็น ไม่น้อยไปกว่ารูปร่างและหน้าตาของผู้หญิงคนนั้น โดยเฉพาะยุคนี้มีแฟชั่นนุ่งสั้นให้สะดุดตา คุณสาว ๆ ยิ่งต้องเน้นการดูแลความงามของเรียวขาตัวเองเป็นการใหญ่แล้วล่ะค่ะ เพราะว่าผู้หญิงที่มีเรียวขางามในบางครั้งอาจดึงดูดใจชายหนุ่มได้ ไม่แพ้สรีระส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ยิ่งถ้าคุณมีส่วนอื่นบนเรือนร่างและใบหน้าสวยด้วยแล้ว ถ้าเรียวขางดงามด้วย คุณก็จะกลายเป็นผู้หญิงที่มีความงามครบเครื่องไปในทันที
        วันนี้เรามีวิธีการดูแลเรียวขาให้สวยและได้รูปมาแนะนำกัน โดยเฉพาะการขจัดปัญหาจากการมีรอยแผลเป็น ขนหน้าแข้ง ปัญหาผิวแห้งไม่สดใส ตลอดจนการมีหัวเข่าดำดูสกปรก ฯลฯ ทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ด้วยเทคนิคและเคล็ดลับไม่ยากจนเกินไป ดังนี้

 ปัญหาของรอยแผลเป็น

        เป็นธรรมดาของผู้หญิงเราทุกคนที่ต้องการลบรอยแผลเป็นบนเรียวขาคู่งาม เพื่อให้กลายเป็นความงามแทนที่ สำหรับการทำ ศัลยกรรมด้วยเลเซอร หรือการทาครีมทายาเฉพาะ ทึ่ซึ่งสามารถลบเลือนรอยแผลเป็นให้หายขาดหรือหายลงไป ก็เป็นวิธีโดยทั่วไปที่เรามักทำกัน แต่เคล็ดลับที่ง่ายที่สุดก็คือ การเลือกใส่ถุงน่องสีเดียวกับผิวเนื้อของเรา ก็จะช่วยให้เรียวขาสวยปราศจากรอยแผลเป็นได้เหมือนกัน

 ปัญหาของขนหน้าแข้ง

        ถ้าคุณประสบกับปัญหาดังกล่าว แน่นอนการโกนหรือการแวกซ์ขนหน้าแข้ง อาจเป็นวิธีที่เป็นทางออกของปัญหาได้ เพียงแต่การเลือกใบมีดโกนหรือที่โกนนั้นควรเป็นสินค้าที่ผลิตมาเพื่อผู้หญิงเราโดยเฉพาะ อย่านำมีดโกนสำหรับใช้โกนหนวดของคุณผู้ชายมาโกนขนหน้าแข้งของคุณดีกว่า เพราะอาจจะไม่ให้ผลดีแก่เรียวขาของคุณเท่าที่ควร ส่วนการแวกซ์ขนหน้าแข้งก็เช่นกัน ควรเลือกชนิดที่เหมาะกับผู้หญิงเราดีกว่า

 ปัญหาของผิวพรรณแห้งไม่สดใส

        หมั่นทาครีมบำรุงผิวที่เรียวขาทุกวันหลังอาบน้ำเป็นประจำสม่ำเสมอ นอกจากนั้นก็ควรถูขี้ไคล ขัดผิวให้ดูสะอาดสดใสอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง จะช่วยให้ผิวที่เรียวขาของคุณหมดปัยหาของความไม่สดใสและไร้สุขภาพไปได้ นอกจากนั้นควรหมั่นดื่มน้ำสะอาดให้มากจำนวนแก้ว รับประทานผักผลไม้ทุกวัน ถ้าไม่สูบบุหรี่หรือดื่มเหล้า ก็สามารถช่วยให้ผิวพรรณของคุณไม่แห้งหรือไม่มีสุขภาพที่ดีได้ค่ะ

 ปัญหาหัวเข่าดำสกปรก

        ควรให้ความสำคัญกับการไม่คุกเข่าบนพื้นบ่อยจนอาจะเป็นสาเหตุของการมีหัวเข่าดำด้าน นอกจากนั้นการชัดผิวที่หัวเข่าอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ก็จะช่วยให้เข่าของคุณหมดปัญหาเข่าดำด้านได้ อย่าใช้โลชั่นทาผิวที่มีส่วนผสมของกรด Alpha Hydroxy เพราะอาจสร้างปัญหาผิวแพ้ได้ง่าย

 ปัญหาเส้นเลือดขอด

        การใส่ถุงน่องอาจช่วยลดปัญหารอยเส้นเลือดขอดของคุณลงได้ เพราะเส้นเลือดขอดเป็นปัญหาที่เกิดจากกรรมพันธุ์ หรือกายืน และนั่งไขว่ห้างมากเกินไป การรักษาเส้นเลือดขอดให้หายขาดนั้น อาจทำได้โดยแพทย์ผู้ชำนาญ แต่วิธีแก้ไขได้ง่ายที่สุดก็คือ การใส่ถุงน่องในเวลาที่นุ่งกระโปรงสั้น ก็จะช่วยให้เรียวขาคุณดูดีและมีเสน่ห์ได้เหมือนเดิม

 ปัญหาน่องโต ขาใหญ่

        ควรเน้นการออกกำลังกายเฉพาะที่ เช่น การไป Fitness การปั่นจักรยานอากาศ รวมทั้งการเดินออกกำลังกาย อาจช่วยลดปัญหาของการมีน่องโต ขาใหญ่ลงได้บ้างค่ะ แต่ทางที่ดีที่สุดก็คือ การ Exercise โดยมีผู้เชี่ยวชาญเป็นคนแนะนำ

        จากเคล็ดลับดังกล่าว คุณก็สามารถมีเรียวขาที่งดงามตามใจนึกแล้วนะคะ ต่อไปนี้ก็ต้องดูแลรักษาความสวยของเรียวขากันอย่างสม่ำเสมอด้วย





แหล่งที่มา http://article.zubzip.com/?6168

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน แบบประหยัด

ก่อนอื่นเตรียมตัวช่วยเหล่านี้ก่อน

   
          • กระดาษทิชชู่ แบบม้วน ดึงแยกเป็นแผ่น ๆ    

         • ไข่ขาว
      
         •  ผ้าขนหนูนุ่ม ๆ    

         • น้ำอุ่น
       
 
ขั้นตอน

         1. รวบผมไม่ให้รกปกปิดใบหน้า

         2. เอาผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นประคบหน้า ประมาณ 5 - 10 นาที ซับน้ำออก

         3. ล้างมือให้สะอาด ใช้ปลายนิ้วแตะไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณที่ต้องการลอกสิวออก เช่น ข้างจมูก

         4. เอากระดาษทิชชู่ที่ฉีกเป็นแผ่นมาแปะให้ทั่ว ทิ้งไว้จนรู้สึกว่าไข่ขาวแห้ง

         5. ค่อย ๆ ลอกกระดาษทิชชู่ออก จากคาง ไล่ขึ้นไปถึง หน้าผาก ใช้วิธีดึงกระดาษในแนวย้อนขึ้น เบามือนิดนึง เพราะอาจทำให้เจ็บได้

          สิวเสี้ยนจะติดกระดาษออกมาด้วย หลังจากนั้นล้างหน้าให้สะอาด สิวเสี้ยนจะหลุดหายออกไป ใบหน้าเนียนนุ่มขึ้นอย่างที่สัมผัสได้



แหล่งที่มา   http://article.zubzip.com/?6548

 

7 วิธี กำจัดสิว

ปัญหาสิวบนใบหน้า ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับสาว ๆ หลายคนเลยทีเดียว แต่จะทำไงดี ถ้าทุกครั้งที่สิวมา พอเอายาแต้ม หายไปไม่กี่วัน สิวมันก็ไปโผล่ที่ใหม่อีกไม่จบไม่สิ้น เฮ้อ

           
ก็แน่ล่ะค่ะ เพราะการใช้ยาแต้มสิว ดูจะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุไงคะ ถ้าจะให้สิวหายไปจริง ๆ มาแก้ที่ต้นเหตุกันดีกว่า วันนี้กระปุกดอทคอมมี 7 วิธีดี ๆ มาบอก ให้สาว ๆ มาสร้างพฤติกรรมใหม่เพื่อใบหน้าที่ไร้สิวกันค่ะ

        1. ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน อย่าลืมนะคะว่า คุณกินอะไร คุณก็ได้อย่างนั้น หากคุณกินของมัน ๆ แน่นอนว่านอกจากความอ้วนแล้ว สิวก็ยังจะถามหาคุณอีกแน่ะ ดังนั้น ควรจะเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์กับผิว อย่างผักผลไม้และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และยิ่งไปกว่านั้นหากคุณทานอาหารที่มีสังกะสีอย่างเมล็ดฟักทอง และถั่วต่าง ๆ ด้วยล่ะก็ เยี่ยมไปเลยล่ะค่ะ เพราะมันจะช่วยคุณสู้สิวได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

        2. ดื่มน้ำเยอะ ๆ คุณควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีให้กับผิว ซึ่งนอกจากมันจะช่วยทำให้คุณเป็นสิวได้ยากแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายคุณสดชื่นและสุขภาพดีด้วยค่ะ

        3. ทานโปรไบโอติกส์ให้ได้ในแต่ละวัน โปรไบโอติกส์เป็นแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และป้องกันสารพิษเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งโปรไบโอติกส์นี้พบได้ในโยเกิร์ต กล้วย น้ำผึ้ง และหัวหอมค่ะ

        4. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวให้ถูกกับผิว ทั้งคลีนเซอร์ เครื่องสำอาง และทุก ๆ อย่างที่คุณใช้กับผิวคุณ เลือกให้เหมาะกับผิวของคุณค่ะ เพราะถ้าเลือกใช้ไม่ถูกกับผิวแล้ว มีหวังสิวเห่อเต็มหน้าแหง ๆ

         5. ห่างไกลจากความเครียด จากการศึกษาพบว่าความเครียดทำให้ระบบการทำงานของร่างกายแปรปรวนไปหมด ซึ่งนั่นหมายรวมถึงผิวคุณด้วยนะคะ ดังนั้น ควรหาวิธีกำจัดความเครียดซะ ด้วยการออกกำลังกาย เล่นโยคะ หรือทำอะไรก็ตามที่คุณอยากจะทำ และนอกจากจะอยู่ห่างจากความเครียดแล้ว คุณควรนอนหลับให้เพียงพอด้วยค่ะ เพราะการพักผ่อนที่เพียงพอทำให้สิวขึ้นได้ยากเช่นกันนะ

        6. ทานแป้งน้อย ๆ เพราะคาร์โบไฮเดรตก็เป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้เช่นกันค่ะ ฮั่นแน่ ข้อนี้ทำได้ยากใช่ไหมล่ะ

        7. ตากแดดบ้าง อ๊ะ ๆ อย่าคิดว่าไม่เกี่ยวกันนะคะ คุณรู้หรือไม่ว่าแสงแดดนั้นช่วยกระตุ้นให้เกิดการสังเคราะห์วิตามินดีมากขึ้น และนอกจากนี้ยังช่วยให้เกิดการสร้างแคลเซียมในร่างกายด้วยค่ะ ดังนั้น อย่ากลัวแดดเลยค่ะสาว ๆ หันมาทำกิจกรรมกลางแจ้งกันบ้างวันละนิด แต่เอาแค่พอไม่ให้ผิวคล้ำลงได้ก็พอ



แหล่งที่มา  http://article.zubzip.com/?6609

เคล็ดลับหน้าขาวใสภายใน 1 เดือน

 สาว ๆ ที่กำลังนั่งกุมขมับเพราะผิวคล้ำเสีย หรืออยากจะปรับสภาพผิวให้ดูขาวใสสุขภาพดีแต่ไม่รู้จะใช้ผลิตภัณฑ์ตัวไหน เห็นทีว่าจะต้องโยนความคิดนี้ออกไปซะเดี๋ยวนี้แล้วล่ะค่ะ เพราะวันนี้กระปุกดอทคอมมีเคล็ดลับดี ๆ จากวัตถุดิบธรรมชาติมาฝาก รับรองว่านอกจากจะไม่เปลืองเงินมากมายแล้ว ยังเห็นผลภายใน 1 เดือนอีกแน่ะ เอ้า ว่าแล้วก็ไปดูกันดีกว่าว่าในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ สาว ๆ ควรจะทำอะไรบ้าง

          1. ในวันแรกเลย ให้คุณเริ่มต้นทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดหมดจดด้วยวิธีการใช้ไอน้ำทำความ สะอาดรูขุมขน โดยต้มน้ำให้เดือดแล้วนำหน้าลงไปอังเหนือผิวน้ำ ความร้อนจะเปิดรูขุมขนเข้าไปทำความสะอาดอย่างลึกซึ้งเลยทีเดียว จากนั้นให้คุณเริ่มพอกหน้าด้วยสูตรอ่อน ๆ อย่างโยเกิร์ตรสธรรมชาติทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก

          2. ในรอบ 1 สัปดาห์ให้คุณพอกหน้าด้วยมะขามเปียกผสมน้ำผึ้งและนมสดให้ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยนำส่วนผสมดังกล่าวมาผสมให้เข้ากันแล้วพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที

          3. ทุก ๆ 7 วันให้คุณทำความสะอาดหน้าด้วยไอน้ำ 1 ครั้ง เพื่อลดการอุดตันของรูขุมขนและลดสิว

          4. ล้างหน้าทันทีที่กลับถึงบ้านแล้ว สาว ๆ หลาย ๆ คนพอกลับบ้านก็มักจะทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่างก่อน ส่วนล้างหน้าก็เอาไว้ล้างพร้อม ๆ กับอาบน้ำทีเดียวเลย แต่หารู้ไม่ว่าไม่ควรทำอย่างนั้นเลยค่ะ เพราะยิ่งจะทำให้เกิดการอุดตันของเครื่องสำอางบนใบหน้าได้มากขึ้น และนั่นเป็นสาเหตุของการเกิดสิวด้วย ดังนั้น ควรล้างหน้าแล้วทาครีมให้เสร็จสรรพก่อนทำกิจกรรมอื่น แล้วค่อยล้างอีกครั้งพร้อม ๆ กับอาบน้ำ

          5. ก่อนเข้านอนทุกคืน ให้ใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ทาบนใบหน้า 30 นาที แล้วล้างออกให้สะอาดก่อนทาครีม น้ำมันมะพร้าวจะช่วยทำให้หน้าเนียนใสได้อย่างไม่น่าเชื่อ

          6. ออกกำลังกายให้ได้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาทีอย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเหงื่อที่อยู่ในร่างกายเราออกมา และมันจะช่วยชะล้างเอาสิ่งอุดตันที่อยู่ในรูขุมขนออกมาได้ด้วย นอกจากนี้ยังทำให้นอนหลับได้เพียงพอ ลดปัญหาสิวด้วยค่ะ

          ทั้งนี้ การปรนนิบัติผิวหน้าดังกล่าว ควรทำควบคู่ไปกับการปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยครีมกันแดดด้วยนะคะ เพราะ หากคุณผลัดเซลล์ผิวควบคู่กับการละเลยการป้องกันแดดละก็ แทนที่ผิวจะขาวใส คราวนี้จะกลายเป็นคล้ำเสียได้ง่ายขึ้นเลยล่ะค่ะ แต่หากสาว ๆ ทาครีมกันแดดไปพร้อม ๆ กันแล้วล่ะก็ รับรองค่ะว่า วิธีนี้จะทำให้สาว ๆ ผิวขาวใสขึ้นได้ใน 1 เดือนอย่างแน่นอน



แหล่งที่มา  http://article.zubzip.com/?7256

เกลือ เพื่อความงาม

รู้ไหมว่า ดีเกลือฝรั่ง หรือ Epsom Salt (หา ซื้อได้ตามร้านขายยาไทยจีน) นอกจากจะนำมาใช้เป็นยาถ่ายแล้ว ยังนำมาใช้ประโยชน์ในการดูแลความงามได้อีกหลายวิธี ลองเลือกวิธีที่คุณชอบไปใช้เสริมความงามกันดู
        1. แช่น้ำอุ่นให้สบาย โดยผสมดีเกลือลงในน้ำอุ่น 2 ถ้วยตวง แล้วเทใส่อ่างอาบน้ำเพื่อแช่กายให้ผ่อนคลายแบบสุด ๆ

        2. แช่เท้า เพื่อขจัดกลิ่นและทำให้ผิวหยาบๆ นุ่มลง ผสมดีเกลือ 1/2 ถ้วยตวงลงในอ่างน้ำอุ่น จากนั้นก็แช่ให้สบาย เสร็จแล้วก็ล้างน้ำแล้วเช็ดให้แห้ง

        3. ทำความสะอาดผิวหน้า ผสมดีเกลือครึ่งช้อนชาเข้ากับผลิตภัณฑ์ล้างหน้าตามปกติของคุณ ใช้นวดลงบนผิวหน้าให้ทั่ว แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

        4. พอกหน้า ถ้าคุณมีผิวธรรมดาถึงผิวมัน ผสมบรั่นดี 1 ช้อนโต๊ะ ไข่ไก่ 1 ฟอง นมผงแบบไร้ไขมัน 1/4 ถ้วยตวง น้ำมะนาว 1 ลูก และดีเกลือ 1/2 ช้อนชาเข้าด้วยกัน แล้วทาลงบนผิวที่เปียกหมาด ๆ แต่ถ้าคุณมีผิวแห้ง ให้ผสมแครอทบดละเอียด 1/4 ถ้วย มายองเนส 1/2 ช้อนชา และดีเกลือ 1/2 ช้อนชาเข้าด้วยกัน

        5. ขัดผิวกาย นวดดีเกลือหนึ่งกำมือลงบนผิวเปียก ๆ โดยเริ่มจากเท้าขึ้นมา ขัดผิวในลักษณะวนเป็นวงกลม เพื่อช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออก หลังจากนั้นก็อาบน้ำตามปกติ ตามด้วยการทาบอดี้โลชั่นเติมความชุ่มชื้น

        6. ขจัดน้ำมันส่วนเกิน ถ้าเส้นผมของคุณเป็นมันเยิ้ม เติมดีเกลือ 9 ช้อนโต๊ะ ลงในแชมพูสำหรับผมมัน 1/2 ถ้วย ทาส่วนผสมนั้นลงบนเส้นผมในขณะแห้ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น เทน้ำส้มสายชูที่ทำจากแอปเปิ้ลที่ เรียกกันว่า แอปเปิ้ลไซเดอร์ ลงบนเส้นผมให้ทั่ว ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออก ทำสัปดาห์ละ 1 -2 ครั้ง จะช่วยลดความมันส่วนเกินได้

สาระน่ารู้จ้า ^^

เรามีทุกปฏิบัติการที่ช่วยต่อต้านความหมองคล้ำและกำจัดจุดด่างดำ เพื่อนำไปสู่ผิวขาวกระจ่างใส อะไรเป็นอะไร และได้ผลแค่ไหน ตามเราไปพิสูจน์กันเลย

          ก่อนอื่น...มาทำความเข้าใจเรื่องสีผิวกันหน่อย

          อย่าเพิ่งเบื่อนะ ถ้าเราจะเริ่มต้นด้วยการเลกเชอร์สักหน่อยว่า สีผิวหมองคล้ำและจุดต่างดำที่คุณๆ ไม่ชอบกันนั่นน่ะเกิดมาจากไหน เพราะถ้าไม่ "รู้เขา รู้เรา" เสียก่อน จะต่อสู้กับมันได้ยังไงล่ะ...จริงมั้ย

          ความจริงแล้วไอ้เจ้าความหมองคล้ำหรือจุดด่างดำที่คุณไม่ชอบกันน่ะ มันเกิดขึ้นมาจากกลไกการป้องกันตัวเองของผิวเรานะ พูดง่าย ๆ ก็คือการสร้างเม็ดสีผิวหรือที่เรียกว่าเมลานิน (จำคำนี้ไว้ให้ดีล่ะ นี่คือคีย์เวิร์ดของเรื่องสีผิวเลยนะ) เป็นการสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องผิวจากอันตรายจากภายนอก โดยเฉพาะจากรังสียูวีตัวร้ายนั่นไง

          โดยผิวหนังคนเราจะมีกลุ่มเซลล์ที่เรียกว่าเมลาโนไซต์ (Melanocytes) ซึ่งอยู่ชั้นล่างของชั้นผิวหนังกำพร้า ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการสร้างเม็ดสีผิว โดยมีเอนไซม์ไทโรซิแนส (Tyrosinase) เป็นตัวสั่งการว่าจะให้เม็ดสีเมลานินที่ผลิตขึ้นมานั้น มีความจางหรือเข้มขนาดไหน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านเชื้อชาติพันธุกรรม และปัจจัยทางสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ อย่างเช่น หญิงตั้งครรภ์ จะมีการหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างเม็ดสีขึ้นมามากกว่าปกติ นอกจากนี้ การกินยาคุมกำเนิด และการใช้เครื่องสำอางบางชนิดที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศ ก็มีส่วนทำให้ผิวหมองคล้ำแลดูไม่สดใสด้วย ผู้คนในแวดวงความงามสมัยนี้ จึงให้ความสนใจเป็นพิเศษกับเอนไซม์ไทโรซิแนสตัวนี้แหละ เพราะเชื่อว่าถ้าควบคุมการทำงานของมันได้ ปัญหาความหมองคล้ำหรือการสร้างเม็ดสีผิวผิดปกติก็จะหมดไป

          ผิวไม่ขาวกระจ่างใสจัดการยังไงได้บ้าง

          อย่างง่าย ๆ เลยก็คือการปกป้องแสงแดด เพราะรังสียูวีเป็นต้นตอสำคัญของสีผิวหมองคล้ำ และจุดด่างดำทั้งหลาย ง่ายขนาดนั้นเลยล่ะ

          แต่ถ้าเกิดผิวหมองคล้ำและจุดด่างดำไปแล้ว การจัดการกับความหมองคล้ำก็มีหลายระดับด้วยกัน เริ่มตั้งแต่การใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อผิวกระจ่างใส ที่มีอยู่อย่างมากมายในท้องตลาด ซึ่งเราจะพูดถึงกันต่อไป

          แต่ถ้ามีปัญหาสีผิวที่ค่อนข้างรุนแรงประมาณฝ้าเต็มใบหน้า ผิวหมองคล้ำเหมือนโดนของ ระดับนี้ก็อาจต้องใช้เความช่วยเหลือจากมืออาชีพอย่างแพทย์ผิวหนัง ซึ่งไม่ได้รักษาแต่สิวนะจ๊ะ ผิวหมองคล้ำต่างดำหนัก ๆ เข้า หมอก็รักษาด้วยเหมือนกัน ซึ่งอาจจะรักษาด้วยการใช้ยาทา การใช้สารเคมีขัดลอกผิว ไปจนถึงการใช้บริการของเครื่องมือไฮเทคอย่างแสงเลเซอร์ชนิดต่าง ๆ เพื่อขจัดชั้นผิวที่เสียหายออกไป ทำให้เหลือชั้นผิวที่สุขภาพดีกว่าแล้วก็ขาวกระจ่างใสกว่า แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ต้องอาศัยหมอมืออาชีพที่มีประสบการณ์ อย่าได้สุ่มห้าสุ่มหกไปทำกับหมอเถื่อนเชียวนะ เพราะหน้าอาจจะ "พัง" จนหมดอนาคตได้

          ทา ๆ ถู ๆ...ผลิตภัณฑ์เพื่อผิวกระจ่างใสมีอะไรกันบ้าง

          ถ้าผิวยังไม่หมองคล้ำขนาดหนัก อาศัยความช่วยเหลือจากผลิตภัณฑ์เพื่อผิวกระจ่างใสไปก่อนก็โอ.เค. นะ เพราะผลิตภัณฑ์ตามเคาน์เตอร์ มักจะมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่ไม่รุนแรงเท่ากับยา สามารถซื้อหามาทาเองได้ ถ้าเลือกให้เหมาะสมกับผิวและสภาพปัญหา ก็สามารถช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้นมาได้ในแบบที่ไม่มีอันตราย โดยผลิตภัณฑ์เพื่อผิวกระจ่างใสที่มีขายตามเคาน์เตอร์นั้น ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีการทำงานอยู่สามแบบนั่นก็คือ

          1. หยุดยั้งการสร้างเม็ดสี

          มีส่วนผสมหลายชนิดที่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ เช่น Arbutin เป็นสารสกัดจากพืชชนิดหนึ่ง ปกป้องผิวจากความเสียหายของอนุมูลอิสระ และยับยั้งการสร้างเมลานินด้วยการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซีแนส การทำงานของอาร์บูตินส่งผลค่อนข้างช้า แต่มีผลข้างเคียงน้อยมาก

          ถัดมาก็คือ วิตามินซี ซึ่งทั้งช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซีแนส และช่วยฟอกสีผิวให้จางลงด้วย แต่ข้อเสียของวิตามินซีคือ มันจะลดประสิทธิภาพได้ง่ายเมื่อโดนแสง แต่ด้วยวิทยาการที่ก้าวหน้า จึงมีการพัฒนาอนุพันธ์ของวิตามินซี ให้มีฤทธิ์เทียบเท่ากับตัววิตามินซีเอง แต่มีความคงตัวที่ดีขึ้นมาใช้ เช่นเดียวกับ Kojic Acid ก็เป็นสารสกัดอีกตัวหนึ่ง (ได้มาจากกระบวนการหมักข้าวเพื่อเอาไปทำสาเกในญี่ปุ่น) ที่ช่วยหยุดยั้งความหมองคล้ำและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระได้ด้วย แต่ก็เป็นสารที่ไม่ค่อยเสถียรเหมือนวิตามินซี จึงมีการนำเอา Kojic Dipalmitate มาใช้แทน

          นอกจากนี้ก็ยังมี Azelaic Acid กรดที่พบในธัญพืช เช่น ข้าวสาลี ข้าวไรย์ และบาร์เลย์เคยใช้เพื่อรักษาสิว แต่มีงานวิจัยที่แสดงว่ามันช่วยแก้ปัญหาสีผิวได้ด้วย โดยสามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีได้ เช่นเดียวกับ Tretinoin ซึ่งมักใช้ในเรื่องการต่อต้านริ้วรอย และมีงานวิจัยบ่งชี้ว่าสามารถช่วยในเรื่องการรักษาสีผิวได้เช่นกัน

          2. ผลัดเซลล์ผิว

          ส่วนใหญ่จะใช้ส่วนผสมที่เป็นกรดอ่อน ๆ อย่างกรดอัลฟ่าไฮดร็อกซี่หรือเอเอชเอ กรดเบต้า-ไฮดร็อกซี่หรือบีเอชเอ และเรตินอล โดยกรดพวกนี้มีคุณสมบัติในการช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าๆ ด้วยการกระตุ้นให้เซลล์ผิวเก่าที่เกาะทับถมกันอยู่นั้น แยกออกจากกัน และหลุดลอกออกไปเร็วขึ้น ขณะเดียวกันก็จะกระตุ้นให้สร้างเซลล์ผิวใหม่ๆ ขึ้นมาแทนที่ แถมยังช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ด้วย ส่งผลให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนและขาวกระจ่างใสกว่าเดิม แต่ถ้าใช้กรดผลไม้ต่างๆ นี้ คุณจะต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัด เพราะถ้าโดนแดดเมื่อไหร่ก็จะเกิดปฏิกิริยาระคายเคือง ซึ่งอาจจะส่งผลร้ายต่อผิวได้ในที่สุด ทางที่ดีก็ควรใช้ควบคู่กับครีมกันแดดเสมอ

          3. ฟอกสีผิวให้จางลง

          นอกจากการแก้ปัญหาสีผิวจากเอนไซม์ไทโรซีแนสที่เป็นต้นตอแล้ว อีกวิธีการหนึ่งที่มักถูกใช้ควบคู่กันไปด้วยก็คือ การทำให้จุดด่างดำที่เกิดขึ้นบนผิวจางลง ด้วยการใช้ส่วนผสมที่มีฤทธิ์ในการฟอกสีผิว อย่างเช่น Licorice หรือสารสกัดจากชะเอม ซึ่งมีฤทธิ์ในการทำให้สีผิวจางลงได้ หรือส่วนผสมบางอย่างที่ยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว ก็ทำหน้าที่ในการฟอกสีผิวด้วย เช่น วิตามินซี ซึ่งทำให้วิตามินซีและอนุพันธ์วิตามิซี ได้ชื่อว่าเป็นส่วนผสมยอดนิยมในผลิตภัณฑ์เพื่อผิวกระจ่างใสทั้งหลายเลยทีเดียว

          สารที่มีฤทธิ์ในการฟอกสีผิวที่ได้ชื่อว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดอีกตัวหนึ่งที่ต้องพูดถึงในที่นี้ ก็คือไฮโดรควิโนน หลายคนคงเคยได้ยินว่าสารตัวนี้เป็นสารต้องห้ามในเครื่องสำอางที่มีขายตามเคาน์เตอร์ เพราะได้มีการค้นพบผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์หลายอย่างของสารตัวนี้ นั่นคือก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวจนทำให้เกิดอาการหน้าแดงและเปลี่ยนเป็นสีดำได้ในที่สุด

          ถึงแม้สารไฮโดรควิโนนจะมีผลข้างเคียงที่ก่อให้เกิดอันตรายได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไฮโดรควิโนนถือเป็นสารฟอกสีผิวที่ทรงประสิทธิภาพมาก และในสหรัฐอเมริกายังมีการอนุญาตให้ใช้ในเครื่องสำอางตามเคาน์เตอร์ได้ในปริมาณไม่เกิน 2% แต่ในเมืองไทยนั้นถือเป็นสารที่ห้ามใช้โดยสิ้นเชิงในเครื่องสำอาง แต่อนุโลมให้ใช้ได้ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะฉะนั้นระวังเครื่องสำอาง “เถื่อน” ที่แอบผสมสารต้องห้ามตัวนี้กันให้ดีล่ะ

          Tip อยากใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อผิวขาวใสหลาย ๆ อย่างได้หรือเปล่า

          ก็ได้อยู่ แต่ต้องดูด้วยว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นมีส่วนผสมที่เน้นการทำงานแบบไหน ถ้าเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมซึ่งทำหน้าที่อย่างเดียวกัน จะทาซ้อนๆ ทับๆ กันไปหลายตัวก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไรเพิ่มเติม แต่ถ้าเลือกผลิตภัณฑ์ที่ทำงานในส่วนที่ต่างกัน คุณก็จะได้ประโยชน์จากมันเพิ่มขึ้นด้วยยังไงล่ะ

          Did Brightening Mask

          มาส์กตำรับทำเองง่าย ๆ ราคาไม่แพง ที่ก็สามารถช่วยให้ผิวกระจ่างใสได้เหมือนกัน

          Papaya Brightening Mask

          มาส์กพอกหน้าตำรับนี้อุดมไปด้วยกรดผลไม้ และเอนไซม์ที่ช่วยย่อยสลายเซลล์ผิวเก่าๆ ให้หลุดลอกออกไป  ขั้นแรกก็หั่นมะละกอดิบเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ ? ถ้วย ผสมกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ช้อนชา และน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงในเครื่องปั่นเพื่อปั่นจนเป็นนื้อละเอียด จากนั้น นำมาทาบนใบหน้าทิ้งไว้ 8 ถึง 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

          Milk Brightening Mask

          มาส์กพอกหน้าตำรับนี้ใช้กรดแล็กติคในน้ำนมเป็นตัวผลัดเซล์ผิวเก่าๆ ออกไป ด้วยขั้นตอนต่อไปนี้ ใส่แป้งถั่วเขียว 1 ช้อนชาลงในชามสะอาด แล้วเติมผงขมิ้นลงไปหนึ่งหยิบมือต่อด้วยการบีบน้ำมะนาวลงไปประมาณ 4 หยด และน้ำมันมะกอกอีกครึ่งช้อนชา คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันก่อนใส่นมสด 1 ช้อนชา ตามลงไป คนส่วนผสมต่อไปจนเข้ากันดี แล้วนำมาทาลงบนใบหน้าทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง หรือจนกว่าผิวหน้าจะรู้สึกตึงๆ ล้างออกด้วยน้ำอุ่นก่อนจะตบท้ายด้วยน้ำเย็น






ใคร ๆ ก็รู้ว่าการขัดผิวช่วยกำจัดเซลล์ผิวเก่า เผยให้เห็นผิวใหม่ที่สดใสกว่า และทำให้การทาครีมบำรุงต่าง ๆ ซึมซาบได้ดีขึ้น ฉะนั้น จึงควรหาเวลาขัดผิวให้ได้สัปดาห์ละครั้ง และยิ่งคุณใช้ส่วนผสมดี ๆ ในการขัดผิว ก็จะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้ด้วย อย่างเช่นสครับขัดผิวตำรับนี้ที่ใช้ขิงและงาเป็นส่วนผสมหลัก วิธีการคือ

          สับขิงที่ยาวประมาณหนึ่งนิ้วให้ละเอียด หรือนำเข้าเครื่องบดก็ได้

          จากนั้น เติมโสมชนิดผงลงไป 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 1/2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันงา 4 ช้อนโต๊ะ น้ำมันกุหลาบ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันหอมระเหยกลิ่นส้มแมนดาริน 5-10 หยด แล้วคนให้เข้ากัน

          ในขณะที่คุณอยู่ในอ่างอาบน้ำหรือใต้ฝักบัว ก็นวดส่วนผสมนี้ลงบนผิวกายเป็นแนววงกลม แล้วล้างน้ำออก อย่าลืมสูดหายใจลึกๆ เพื่อให้กลิ่นหอมจากขิงและน้ำมันหอมระเหยต่าง ๆ ช่วยทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย




ใบหน้ากระจ่างใส ชวนมองล้วนเป็นที่ต้องการของทั้งชายและหญิง วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์ จึงนำวิธีการดูแลรักษาใบหน้าให้สวยใสไร้สิวมาบอก...
            รักษาความสะอาด ควรล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2-3 ครั้ง เพื่อลดความมัน

            หลังทำกิจกรรม ที่มีเหงื่อออกมาก ควรล้างหน้าทุกครั้ง เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรก ความมัน และแบคทีเรียบนใบหน้า

            ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ที่มีสามารถขจัดแบคทีเรีย อันเป็นสาเหตุของการเกิดสิว หรือที่มีส่วนผสม ของสารสกัดจากพืชธรรมชาติ ที่เหมาะกับสภาพผิว

            ระหว่างที่เป็นสิว ควรงดใช้ผลิตภัณฑ์ใส่ผม หรือเครื่องสำอางที่มีความเหนียวเหนอะหนะ  เพราะสารในผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะตกค้างอยู่แถวๆตีนผม ซึ่งจะทำให้เกิด การระคายเคืองและเป็นสิว

            ห้ามบีบหรือแกะสิวเป็นอันขาด เพราะจะทำให้เกิดรอยแผลเป็นที่รักษาได้ยาก

            ควรรักษาสุขภาพ โดยทั่วไปให้ดีอยู่เสมอ เช่น รับประทานผัก ผลไม้ น้ำผลไม้ และน้ำสะอาด ให้มากๆ พยายามอย่าเครียดหรือนอนดึก

           อยากผิวสวยไร้สิว ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้ดู










 




 

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

เคล็ดลับ...รู้ไว้ไม่เสียหลาย

ชุดคำถามที่ 1: หมวด เคล็ดลับแม่บ้าน


1. ไข่ขาวสามารถใช้รักษาแผลน้ำร้อนลวกได้ จริงหรือ

เฉลย : จริง

โดยใช้ไข่ขาวมาทาที่น้ำร้อนลวกให้ทั่วทิ้งไว้จนแห้ง ไปเอง แล้วรอสักพักใหญ่ๆ จึงล้างออกจะไม่มีรอยแดง หรือพองเลย ข้อสำคัญ ก่อนทาไข่ขาวอย่าให้ถูกน้ำเย็นหรือของอื่นเลย และอย่าไปแกะ หรือเกาตอนที่ใกล้จะแห้ง เพราะจะทำให้หนังถลอก



2. ยาหม่องสามารถใช้ขจัดหมากฝรั่งเปื้อนผ้าได้ จริงหรือ

เฉลย : จริง

โดยการใช้ยาหม่องถูตรงยางเหนียวๆของหมากฝรั่งไปมา ไม่นานยางของหมากฝรั่งก็จะหลุดออกหมดแล้วจึงนำผ้าไปซักตามปกติ



3. ใส่หลอดในขวดซอสมะเขือเทศจะทำให้เทออกง่าย จริงหรือ

เฉลย : จริง

โดยการใส่หลอดลงไปให้ลึกถึงก้นขวด เพื่อให้อากาศสามารถแทรกผ่าน เข้าไปในขวดได้ แล้วเทซอสมะเขือเทศก็จะไหลออกมาง่ายขึ้น



4. ถุงน่องแช่น้ำเกลือช่วยให้ถุงน่องไม่ขาดง่าย จริงหรือ

เฉลย : จริง

โดยการนำเกลือ 2 ถ้วยผสมกับน้ำ 1 แกลอน แช่ถุงน่องใหม่ไว้นาน 3 ชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำเย็น ยกถุงน่องขึ้น มาตากให้น้ำหยดจนแห้ง ก็จะทำให้ถุงน่องคงสภาพ และเหนียวทนนาน



5. มันฝรั่งกำจัดกลิ่นปลาร้าติดมือได้ จริงหรือ

เฉลย : ไม่จริง

แต่มันฝรั่งสามารถกำจัดกลิ่นหัวหอมติดมือได้ โดยการนำมันฝรั่งที่ปอกแล้ว มาถูมือที่มีกลิ่นหัวหอมติดอยู่ กลิ่นหัวหอมก็จะค่อยๆ จางหายไป



6. พริกแห้งใช้ไล่แมลงวันได้ จริงหรือ

เฉลย : จริง

เวลาตากของแห้งไว้ จะมีแมลงวันมาตอม ให้เอาพริกแห้ง 5 - 6 เม็ด เสียบไว้รอบกระด้ง ไอร้อนของพริก จะทำให้แมลงวันไม่กล้าเข้าใกล้



7. เบียร์ช่วยคลายเกลียวขึ้นสนิมได้

เฉลย : จริง

ให้รินเบียร์ลงไปบนเกลียวขึ้นสนิมนิดหน่อย รอ 2-3 นาที ความเป็นกรดของเบียร์ จะช่วยขจัดสิ่งสกปรก และเศษสนิม ทำให้เกลียวหมุนเปิดได้ง่ายขึ้น



8. เอาผ้าไหมแช่ช่องแข็งจะทำให้รีดง่าย จริงหรือ

เฉลย : จริง

การรีดผ้าไหม ควรใช้ไฟอ่อนๆ เพราะผ้าไหมจะไหม้เกรียม หรือเป็นสีเหลืองได้ง่าย แต่ถ้าผ้าไหมยับมาก ก่อนรีดควรฉีดพรมน้ำยาให้ทั่ว แล้วพับใส่ถุงพลาสติก นำไปแช่ในช่องแข็งของตู้เย็น ประมาณ 10 -15 นาที แล้วจึงนำออกมารีด จะทำให้รีดผ้าไหมได้ง่าย และเรียบยิ่งขึ้น



9. นำเหรียญสลึงใส่แจกันช่วยให้ดอกไม้ไม่เหี่ยวเฉาได้ จริงหรือ

เฉลย : จริง

โดยให้หย่อนเหรีย­สลึงลงไปในแจกัน ส่วนผสมที่เป็นทองแดงในเหรียญจะช่วยยับยั้งการเจริญ

เติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ดอกไม้เหี่ยวเฉา



10. ใบฝรั่งช่วยดูดกลิ่นได้ จริงหรือ

เฉลย : จริง

โดยให้นำใบฝรั่งมาตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำ แยกกากใบออก น้ำมันหอมระเหยที่ได้ จะทำหน้าที่ดับกลิ่น ส่วนกากใบที่ได้ให้นำไปวางไว้ตามจุดต่างๆเพื่อช่วยดูดกลิ่นได้



ชุดคำถามที่ 2 : หมวดกินเพื่อสุขภาพ



1. กินน้ำมะนาวปั่นสามารถแก้อาการเมาค้างได้ จริงหรือ

เฉลย : ไม่จริง

แต่แก้อาการเมาค้างได้โดยการดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง เพราะกล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา ทำให้อาการเมาหายไปได้



2. เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง จริงหรือ

เฉลย : จริง

เพราะในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียมสูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การกินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลให้เกิดอาการชักได้



3. มันฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำจริงหรือ

เฉลย : จริง

เพราะในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่า คูคัวไมน์ส มีสรรพคุณในการควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลง และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่าโรคนอนหลับ ได้อีกด้วย



4. ดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ จริงหรือ

เฉลย : ไม่จริง

แต่การดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น เพราะนมร้อนจะส่งเสริมให้สมองหลั่งสาร



5. การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้ จริงหรือ

เฉลย : ไม่จริง

แต่การเคี่ยวหมากฝรั่งช่วยให้คนไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัด เป็นการบริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น คนไข้จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่งทำให้ปวดท้อง และท้องอืด หลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพักหนึ่ง



6. การกินเนยก่อนนอนทำให้นอนหลับสนิทขึ้น จริงหรือ

เฉลย : จริง

เพราะในเนยมี กรดอมิโน ที่มีชื่อว่า ทริปโตพัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และสะกดให้หลับได้สนิทดีขึ้น



7. กินส้มช่วยแก้อาการเซ็งได้ จริงหรือ

เฉลย: จริง

การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเองจะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่เพียงพอ ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดลงได้ดีออกมาด้วย



8. การกินช็อคโกแล๊ตช่วยแก้ไอได้ จริงหรือ

เฉลย : จริง

เพราะ โกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแล๊ตมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับ การไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล



9. การกินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้ จริงหรือ

เฉลย: จริง

เพราะ การที่คนเรามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความ

เป็นด่างได้ทัน แต่ บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดคนเรา จึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้

และยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารจำเป็นอยู่มากอีกด้วย



10. การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำเสื่อมได้ จริงหรือ

เฉลย: จริง

เพราะ เลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น สารอาหารไปเลี้ยง

สมองได้น้อยลงสมองจึงค่อยๆเสื่อม



ชุดคำถามที่ 3: หมวดรู้ไว้ใช่ว่า



1. การแลบลิ้นให้น้ำลายยืดลงพื้น 3 หยดจะแก้เผ็ดได้ จริงหรือ

เฉลย : จริง

อาการเผ็ดเกิดจากสารที่ชื่อ แคปไซซิน ที่อยู่ในพริกเข้าไปจับกับปลายประสาทรับรถที่ลิ้น ร่างกายจะก็จะแสดงปฎิกริยาโดยขับน้ำลายออกมาชะล้างเอาเจ้าสารนี้ออกไป





2. ดูดนมยางของเด็กทารกตอนนอนจะแก้อาการนอนกรนได้ จริงหรือ

เฉลย: จริง

การคาบหรืออมนายางของเด็กทารกไว้ในปากจะทำให้ลิ้นในปากอยู่นิ่ง ก็จะพลอยให้เนื้อเยื่อของเพดาน

ไม่กระเทือนสั่นไหว ขึ้นจึงไม่เกิดอาการกรนและไม่นอนอ้าปากอีกด้วย



3. การสูดกลิ่นตัวผู้ชายทำให้หายเครียดได้ จริงหรือ

เฉลย: จริง

เพราะกลิ่นตัวผู้ชายที่เป็นคนรักนั้นมีสาร ฟีโรโมน ผสมอยู่โดยเฉพาะในผมและผิวของเขา เมื่อสูดดมแล้วจะช่วยลดอาการเครียดและเหนื่อยล้าลงได้



4. แอปเปิ้ลผลิตกระแสไฟฟ้าได้ จริงหรือ

เฉลย: จริง

ถ้าเสียบแผ่นสังกะสี และแผ่นทองแดง กรดในแอปเปิ้ลจะทำให้เกิดการแตกตัวของไอออน ทำให้ลูกแอปเปิ้ลเป็นเหมือนแบตเตอรี่ ซึ่งผลไม้ชนิดอื่นเช่น มะนาว เกรปฟรุ๊ต หรือมันฝรั่ง ก็ทำได้เช่นกัน



5. ปัสสาวะมนุษย์ใช้ทำยาสีฟันในสมัยโบราณ จริงหรือ

เฉลย: จริง

โดยแพทย์ชาวโรมันเชื่อว่า ปัสสาวะมนุษย์ มีคุณสมบัติทำให้ฟันขาว และแข็งแรง ยาสีฟันในยุคดังกล่าว จึงเป็น น้ำยาบ้วนปากที่ทำจากปัสสาวะมนุษย์



6. วัวกระทิงเกลียดสีแดง จริงหรือ

เฉลย: ไม่จริง

เพราะ วัวเป็นสัตว์ตาบอดสี ไม่สามารถแยกแยะสีต่างๆ ได้ แต่การที่วัวเมื่อถูกล่อด้วยผ้าแดงเหมือนในสนามสู้วัว แล้วก็พุ่งเข้าใส่นั้น เป็นเพราะความรำคา­ และเพราะถูกยั่วยุมากกว่า



7. เพชรแท้จะไม่ติดสีหมึก จริงหรือ

เฉลย: จริง

การทดสอบดูเพชรแท้นั้น ให้ป้ายน้ำหมึกสีดำไปบนเพชร ถ้ามีความลื่นออก ไม่ติดอยู่บนเพชร แสดงว่าเป็นเพชรแท้ แต่ถ้ายังมีจุดดำตรงที่แต้มอยู่ ก็แสดงว่าเป็นเพชรเทียม



8. การทะเลาะกันทำให้แผลหายช้า จริงหรือ

เฉลย : จริง

เพราะ ความเครียดที่เกิดขึ้น ทั้งระหว่าง และหลังจากการทะเลาะกัน จะส่งผลให้ร่างกายลดการผลิตโปรตีนเม็ดเลือด ที่มีประโยชน์ต่อการรักษาบาดแผล หรือส่วนที่สึกหรอในร่างกายให้น้อยลงทำให้บาดแผลต่างๆ หายช้า



9. แสงแดดอ่อนๆ ช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าได้ จริงหรือ

เฉลย : จริง

เพราะ แสงแดดอ่อนๆ จะช่วยลดการสร้างฮอร์โมน เมลาโตนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับ ถ้าหากเก็บตัวอยู่แต่ในที่มืดจะทำให้ฮอร์โมนตัวนี้สูงขึ้น และอาจส่งผลให้เกิดการง่วง เหงา ซึมเซาได้



10. การฟังเพลงช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้ จริงหรือ

เฉลย : จริง

เพราะการฟังเพลงทำให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนสร้างความสุขออกมา ช่วยลดความดันโลหิต และ บรรเทาอาการปวดข้อลงได้



ชุดคำถามที่ 4: หมวดความสวยความงาม



1. กินหวานมากทำให้ผิวเหี่ยว จริงหรือ

เฉลย : จริง

เพราะ เมื่อร่างกายมีน้ำตาลอยู่ในกระแสเลือดมากเกินไป มันจะไปเกาะติดกับเส้นใยโปรตีนที่อยู่ระหว่างเซลล์ผิว ทำให้เกิด ภาวะผิวเครียดขึ้น และนำไปสู่อาการแก่ก่อนวัย ผิวหยาบกร้านและเหี่ยวย่นในที่สุด



2. การยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้าจะทำให้ผิวหน้าดูสดใส

จริงหรือ

เฉลย : จริง

โดยการยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้า ก้มตัวต่ำๆค้างไว้นับ 1-30 แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นจะทำให้โลหิตบริเวณหนังศีรษะ และใบหน้าหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลกระทบให้ผิวหน้าดูสดใสขึ้น



3. เอาน้ำแข็งถูหน้าก่อนนอนจะทำให้หายมันได้ จริงหรือ

เฉลย : ไม่จริง

แต่แก้ปัญหาหน้ามันได้โดยการ ใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ทาหน้าให้ทั่วใบหน้า ทาแล้วไม่ต้องล้างออก น้ำเมือกจะแห้งไป เองภายใน ๕ - ๑๐ นาที ทำก่อนนอน แค่นี่หน้าก็จะหาย



4. การสวมเสื้อผ้าหนาๆ เพื่อให้เหงื่อออกเยอะๆ จะทำให้ผอมเร็วจริงหรือ

เฉลย : ไม่จริง การที่เหงื่อออกเยอะคือ

ภาวะที่ร่างกายโดนความร้อนแล้วระบายความร้อนออกมา ไม่ใช่การเผาผลา­ไขมันออกมา

เพราะฉะนั้นพอเราดื่มน้ำเข้าไป น้ำหนักก็จะเท่าเดิม



5. คนผิวแห้งมีโอกาสเกิดริ้วรอยกว่าคนผิวมัน จริงหรือ

เฉลย : จริง

เพราะคนผิวแห้งขาด ซีบัม หรือสารไขมัน ทำให้กลไกลการปกป้องตนเองของผิวหนังทำงานได้ไม่ดีท่าที่ควร เพราะฉะนั้น คนผิวแห้งควรดูแล และทาครีมบำรุงเพื่อความชุ่มชื่นแก่ผิวพิเศษกว่าคนผิวมัน



6. การฝึกกลั้นหายใจสามารถชะลอหน้าแก่ก่อนวัยได้ จริงหรือ

เฉลย : จริง

โดยการหายใจออกทางปากอย่างช้าๆ จนสุดลม แล้วหายใจเข้าทางจมูกอย่างช้าๆ ให้เต็มปอด กลั้นไว้ระยะหนึ่ง แล้วจึง หายใจออกอย่างช้าๆ ทำแบบนี้วันละ 2 ครั้งๆ ละ 20 นาที จะช่วยชะลอผิวแก่ก่อนวัย และรอยคล้ำ ได้



7.การร้องไห้ช่วยลดความอ้วนได้ จริงหรือ

เฉลย : ไม่จริง

แต่การหัวเราะต่างหากที่ช่วยเผาผลาญแคลอรีให้หมดไปได้ดีกว่าอยู่เฉยๆ ได้มากถึง 20% ซึ่งหากได้หัวเราะวันละสัก 10 -15 นาที จะช่วยเผาผลาญพลังงานลงได้มากถึง 50 แคลอรี





8. กาวตราช้างใช้รักษาส้นเท้าแตกได้ จริงหรือ

เฉลย : จริง

เพราะเมื่อปิดหนังที่แตกด้วยกาวตราช้าง สิ่งสกปรกจะเข้าไปในรอยแตกไม่ได้ ผิวจะไม่ ถูกรบกวน จึงมีการซ่อมแซมตนเองขึ้นมา มีการสร้างเซลล์ใหม่ และผลัดเซลล์เก่าออก กาวช้างก็จะหลุดออกไป แต่ห้ามใช้กับคนที่แพ้กาวตราช้าง



9. การเต้นรำทำให้ผิวสวยได้ จริงหรือ

เฉลย : จริง

เพราะ การเต้นรำเพียงวันละ 20 นาทีช่วยเผาผลาญแคลอรี กระตุ้นระบบการหายใจ และระบบหมุนเวียนโลหิต ทำให้เลือดลมเดินทั่วผิว ทำให้ผิวสวยมีสุขภาพดี



10. การใส่กระโปรงสั้นในห้องแอร์เป็นประจำทำให้ขาใหญ่ได้ จริงหรือ

เฉลย : จริง

เพราะ ช่วงขาส่วนที่อยู่นอกกระโปรงจะเกิดการสะสมไขมันเป็นพิเศษ เพื่อให้เข้ากับสภาพอากาศ โดยเฉพาะเมื่อผิวหนังเจอความหนาวเย็น ทำให้เกิดเซลลูไลท์ขึ้นจนทำให้ขาใหญ่หากจำเป็นต้องใส่กระโปรงสั้นจริงๆ ควรใส่ถุงน่องเพื่อเพิ่มความอบอุ่น







แหล่งที่มา http://www.jobpub.com/articles/showarticle.asp?id=1725

คนที่เล่นคอมพ์เกือบทุกคน เป็นโรค 'วุ้นในลูกตาเสื่อม'

คนที่เล่นคอมพ์เกือบทุกคน เป็นโรค 'วุ้นในลูกตาเสื่อม' ตอนนี้ในประเทศไทย มีคนเป็นโรคนี้ถึง 14 ล้านคนแล้ว จากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์ (นี่เฉพาะแค่ที่มีข้อมูลบันทึกไว้ คนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นจะมากขนาดไหน?)

อาการก็คือ !
คุณจะเห็นเป็นคราบดำๆ เหมือนหยากใย่ ลอยไปลอยมาเหมือนคราบที่ติดกระจก จะเห็นชัดก็ต่อเมื่อ คุณมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ฝาห้องขาวๆ ฝาห้องน้ำขาวๆ จะเห็นเป็นคราบดำๆ ลอยไปลอยมา ถ้าอาการมากกว่านั้นก็คือ ประสาทตาฉีกขาด คุณจะมองเห็นแสงแฟลชในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา (น่ากลัวมากๆ) และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิม จะตาบอดหรือไม่?)


สาเหตุของโรคนี้คือ !

'การใช้สายตามากเกินไป' (เล่นคอม) แต่ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีอาชีพใช้ที่สายตามากๆ เช่น ช่างเจียระไนเพชรพลอย ! ที่ต้องใช้สายตาเพ่งมากๆ แต่เดี๋ยวนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมากเพราะ เล่นเนต หรือ เล่นคอม (คุณฟังไม่ผิดหรอก เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคนี้กันมากเพราะเล่นคอมนี่แหละ)


ถามว่าทำไม คนเล่นเนต เล่นคอม ถึงเป็นกันมาก?

ไม่ว่าคุณจะเล่นเนต, เล่นเกมส์, อ่านไ[คำไม่พึงประสงค์]ารี่, อ่านบทความ, อ่านหนังสือหรืออะไรก็ตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ ล้วนทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้นเพราะว่า ถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดาๆ 'ระยะห่างระหว่าง ลูกตา กับ ตัวหนังสือ จะคงที่ แน่นอนเพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอนกว่า กล้ามเนื้อและประสาทตาจึงทำงานค่อนข้างคงที่ แต่ ! ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณะเป็นจุดๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่คมชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส ( เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป ) (จอ LCD เราก็ต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือไม่ได้ติ[คำไม่พึงประสงค์]ยู่ด้านบนเหมือน อยู่บนแผ่นกระดาษ) การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน บวกกับ ลักษณะการอ่านหนังสือในคอมนั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลง เพื่อที่จะอ่านบรรทัดด้านล่างได้หรือไม่ก้อ ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้าส์หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือ


แต่ การเลื่อนบรรทัดนี้ ไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษ ที่แขนกับคอเราจะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอน สัมพันธ์กัน แต่ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้าง หรือลูกกลิ้งบนม้าส์นั้น มันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุกๆ (คุณสังเกตดู ) มันจึงทำให้ปวดตามากๆ เพราะจะต้องลากลูกตาเลื่อนตามบรรทัดที่กระตุกๆ นั้นไปตลอด บวกกับ การพิมพ์ตัวหนังสือนั้น บางทีคุณต้องก้มเพื่อมองนิ้ว ว่ากดตำแหน่งบนแป้นพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่ ทำให้เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จ คุณจะปวดตามากๆ ตัวอย่างเช่นกรณีเด็กนักศึกษา เร่งพิมพ์รายงานส่งอาจารย์ ติดต่อกันข้ามคืน ! สองสามวัน ตาจะปวดมากๆ รวมทั้งเวลาการเปิดใช้โปรแกรม word ในการพิมพ์ตัวหนังสือมักจะมีสีพื้นที่เป็นสีขาวสว่าง (ที่นิยมก็คือ ตัวหนังสือสีดำบนพื้นสีขาว) สีพื้นที่สว่างจ้านี่เอง ทำให้ตาคุณจะเกิ[คำไม่พึงประสงค์]าการแพ้แสง ถ้ามีการพิมพ์ติดต่อกันนานๆ เพราะจ้องจอสีขาวนานเกินไป หรือไม่ก็คนที่ชอบเล่นเกมส์บ่อย ๆ มักจะมีการปรับแสงสว่าง เพราะเวลาเล่นเกมส์ ภาพพื้นหลังของเกมส์มักจะมืดๆ



สรุปก็คือ
1. การมองตัวหนังสือที่แขวนลอยอยู่ในจอ โฟกัสไม่แน่นอน กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก 'ทำให้สายตาเสีย'

2. การเลื่อนตัวหนังสือและแถบบรรทัด ในหน้าคอม หรือ หน้าเนต มันจะเลื่อนแบบเป็นกระตุกๆ ทำให้สายตาเสีย การกระตุกๆ ของแถบบรรทัดนี่เอง ที่ทำให้สายตาเสีย

3. การก้มๆเงยๆ มองแป้นพิมพ์ และมองจอคอม กลับไปกลับมา 'ทำให้สายตาเสีย '

4. การปรับจอภาพที่! มีแสงสว่างจ้า มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว 'ทำให้สายตาเสีย' (คล้ายๆ กับการเปิดดูทีวี ในห้องมืดๆ เป็นประจำ แล้วทำให้สายตาเสียน่ะเอง อย่างเดียวกัน)

5. การใช้จอคอม ที่มีความกว้างมากเกิน !! (จอคอมกว้างๆ นั้น เหมาะสำหรับการดูภาพ ดูหนัง แต่ไม่เหมาะกับการดูตัวหนังสือ !!) เพราะว่า สายตาคนเรานั้นมีระยะการมองตัวอักษรที่ 1 ฟุต (12นิ้ว) แต่จอคอมสมัยใหม่ กลับมีความกว้าง 17 นิ้ว 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ซึ่งมันกว้างเกิน ระยะกวาดสายตามอง จากขอบหนึ่งไปสู่ อีกขอบหนึ่ง (ทำให้ปวดทั้งคอ ทั้งลูกตา)

ถามกลับไปว่า ทำไม กระดาษเอกสาร ที่ใช้ในการอ่านการเขียนทั่วไปจึงมีขนาด A4 ?
คำตอบ ก็คือ ความกว้างของกระดาษ A4 ไม่กว้างเกินไป กำลังพอดีกับการกวาดสายตามอง และเป็นคำตอบเดียวกับที่ว่าทำไมขนาดของจอคอมคุณที่ใช้ ไม่ควรเกิน 15 นิ้ว นั่นเอง

ส่วนมากคนทั่วไป มักจะคิดไม่ถึงว่า การเล่นคอมทุกวันนั้น จะเป็นสาเหตุใหญ่ที่สามารถทำให้ตาบอดได้ ถ้าเกิ[คำไม่พึงประสงค์]าการรุนแรงเพราะกว่าจะรู้ตัวแล้วไปหาหมอ หมอก็อาจจะบอกว่า คุณไม่สามารถรักษาหายได้แล้ว และต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น!!!

ที่มา http://www.bt-50.com/description.aspx?q_sec=59937838

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่า “เทคโนโลยีสมัยใหม่มีผลร้ายต่อสังคม”

 

ในคืนที่พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์
แป๊ะยิ้มเข้าไปรื้อค้นหนังสือวิชาภาษาไทย
และชีทสัมมนากฎหมายลักษณะนิติกรรม-สัญญา
ที่วางระเกะระกะอยู่บนเตียงไม้เก่า ๆ ภายในห้องหนังสือ
ซึ่งสภาพภายในห้องนั้น...รกไปด้วยหนังสือและเอกสาร
ทั้งของแป๊ะยิ้มและของมอมิ้ว (น้องสาว)

“อ่า ~ เจอหนังสือวิชาภาษาไทยแล้ว”
แป๊ะยิ้มหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา
แต่แล้ว...ก็ได้มีกระดาษแผ่นหนึ่งหล่นออกมาจากหนังสือวิชาภาษาไทย
แป๊ะยิ้มเห็นเช่นนั้น จึงหยิบมันมาดูด้วยความฉงนสงสัย
ปรากฏว่า แผ่นกระดาษแผ่นนั้น
มันคือแบบฝึกหัดการเขียนตอบข้อสอบอัตนัย วิชา ท.161 การใช้ภาษาไทย
ในหัวข้อ ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่า “เทคโนโลยีสมัยใหม่มีผลร้ายต่อสังคม”
ซึ่งแป๊ะยิ้มทำแบบฝึกหัดนี้ส่งอาจารย์ผู้สอนเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2553
และได้รับงานคืนในวันคล้ายวันเกิดของแป๊ะยิ้มเอง(20 กุมภาพันธ์ 2553)

ปกติ...แป๊ะยิ้มเขียนตอบข้อสอบอัตนัยได้ไม่ค่อยดีนัก
เพราะเป็นคนขยายความไม่เก่ง
ทำให้ผลงานส่วนใหญ่ในวิชานี้ของแป๊ะยิ้ม
อย่างมากที่สุด ก็ไม่เกิน B+ ค่ะ
แต่ผลงานชิ้นนี้ อ.ลักษณา (อาจารย์ผู้สอน) ให้คะแนน A ค่ะ
ดีจัง...ได้ A ครั้งแรก ในวันเกิดของตัวเองด้วย

ว่าแล้ว...ก็ขออวดผลงานเสียหน่อย
ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ ไม่อยากดองเค็ม blog ตัวเอง
แต่หลังจากวันนี้ไป แป๊ะยิ้มคงต้องเตรียมตัวสำหรับการสอบแล้วล่ะค่ะ
ดังนั้น...หลังจากที่คุณผู้อ่านได้อ่านผลงานของแป๊ะยิ้มแล้ว
ถ้าอยากแสดงความคิดเห็น แป๊ะยิ้มเปิดรับเต็มที่ค่ะ
แต่อาจจะไม่มาตอบได้บ่อย ๆ อาจจะหายไปสัก 20 วันค่ะ

...

ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่า “เทคโนโลยีสมัยใหม่มีผลร้ายต่อสังคม”

เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับสังคมไทยในปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าในแต่ละสังคม แต่ละชุมชน แต่ละครอบครัว รวมไปถึงแต่ละคน ต่างก็มีเครื่องอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์พกพา เป็นต้น แต่ในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ย่อมเป็นดาบสองคม กล่าวคือ มีทั้งข้อดี และข้อเสียควบคู่กันไป ดังนั้น จากข้อความที่กล่าวไว้ว่า “เทคโนโลยีสมัยใหม่มีผลร้ายต่อสังคม” ข้าพเจ้าจึงเห็นด้วย เนื่องจากเหตุผล 3 ประการ ดังนี้

เหตุผลประการแรก คือ เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้คนในสังคมเกิดการเลียนแบบ กล่าวคือ ในการโฆษณาเครื่องอำนวยความสะดวก อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ ทางบริษัทโฆษณาจะใช้ดารานักแสดงหรือบุคคลที่อยู่ในความสนใจของสังคมมาดึงดูดความสนใจ ทำให้ผู้คนโดยเฉพาะวัยรุ่นเกิดอยากได้สินค้าชนิดนั้น กลายเป็นกระแส เป็นค่านิยมในสังคมที่ว่า ถ้าอยากเป็นเหมือนดารานักแสดงคนนั้น ก็ต้องซื้อสินค้าชนิดนั้น

เหตุผลประการที่สอง คือ เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นช่องทางในการถูกล่อลวงได้ง่ายขึ้น เราจะพบว่า การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่นั้นทำให้การสื่อสารระหว่างบุคคลง่ายขึ้น แต่ในขณะเดียวกันการสื่อสารระหว่างบุคคลที่ง่ายนี้เอง กลายเป็นช่องทางของเหล่ามิจฉาชีพในการล่อลวง เช่น การพูดคุยสนทนาผ่านทางโปรแกรม MSN หรือโปรแกรม Camfrog จนนำไปสู่การถูกล่อลวงพาไปข่มขืน และถูกส่งไปค้าประเวณียังต่างประเทศ

เหตุผลประการสุดท้าย คือ เทคโนโลยีสมัยใหม่นำไปสู่การก่ออาชญากรรม กล่าวคือ เด็กและเยาวชนที่ชอบเล่นเกม ต้องการนำเงินไปเล่นเกม หรือนำเงินไปซื้อสิ่งของต่าง ๆ ในเกม แต่เมื่อเด็กเหล่านั้นไม่มีเงิน เด็ก ๆ ก็ย่อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เงิน อาจจะขโมยเงินคุณพ่อคุณแม่ อาจจะไปฉกชิงวิ่งราวกระเป๋า ดังจะเห็นได้จากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่มีข่าวการวิ่งราวกระเป๋าโดยนำเงินไปเล่นเกม

จากเหตุผลที่กล่าวมานั้น แสดงให้เห็นว่า การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในสังคมไทยนั้น แม้จะก่อให้เกิดความสะดวกสบาย แต่ก็กลายเป็นโทษมหันต์เมื่อมีคนนำไปใช้อย่างผิด ๆ ดังนั้นการที่จะนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในชีวิตประจำวัน ควรจะใช้อย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันภัยที่อาจจะเกิดขึ้น


...

เชิญแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ค่ะ
แป๊ะยิ้มอยากอ่านความคิดเห็นของคุณผู้อ่าน
ว่าคุณผู้อ่านคิดอย่างไรกับหัวข้อนี้

เทคนิคเพิ่มความฉลาด

การจดจำให้กับสมองมาฝาก…
1. บริหารสมองอยู่เสมอ
ยิ่งเราใช้สมองมากและบ่อย เท่า ไหร่ เซลล์สมองจะยิ่งเจริญเติบโตมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้ความสามารถในการจำดีขึ้นตามไปด้วย วิธีบริหารสมอง เช่น การเล่นหมากฮอส ต่อจิ๊กซอว์ หรือเล่นครอสเวิร์ดในเวลาว่าง
2. กินยาเสริมความจำ
มีผลการวิจัยยืนยันว่าหลังจาก การกินโสมในปริมาณ 400 มิลลิกรัมไปแล้ว 1 ชั่วโมง จะทำให้ความสามารถในการจำดี ขึ้นและส่งผลต่อไปอีกถึง 6 ชั่วโมง แปะก๊วยก็มีการยืนยันว่าส่งผลดีต่อระบบความจำเหมือนกัน เพราะจะไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในสมอง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในอเมริกาพบว่า Vinpocetine ที่สกัดได้ขากต้น Periwinkle (ไม้ เลื้อยชนิดหนึ่งที่มีดอกสีฟ้า ใบเข้มเป็นมัน) นั้นจะช่วยเพิ่มความจำและความจดจ่อในสิ่งที่กำลังทำอยู่ ให้มากขึ้นได้
3. กินผักและผลไม้สด
เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีอยู่สูงในผักและผลไม้สดจะไปทำลายอนุมูลอิสระซึ่งเกิดจากการสะสมเป็น เวลานานของเนื้อเยื่อไขมันอันจะทำให้สมองอ่อนแอลง และ ช่วยชะลออาการความจำถดถอยในผู้สูงอายุ อาทิ ผมไม้ที่มีสีแดง ม่วง และน้ำเงิน โดยเฉพาะตระกูลเบอร์รี่ ต่างๆ จะมีสารต้านอนุมูลอิสระชนิดที่มีความเข้มข้น สูงที่เรียกว่า Anthocyanidin
4. ลดปริมาณแอลกอฮอล์
เพราะจะส่งผลต่อการปลดปล่อย สาระสำคัญในสมองโดยจะไปขัดขวางความสามารถในการสร้างความจำใหม่ ๆ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นชื่อ ตัวเลข และเหตุการณ์ณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ยิ่ง ไปกว่านี้ ความสามารถในการระลึกเหตุการณ์หรือ เรื่องราวเก่า ๆ ในอดีตก็จะถูกบั่นทอนไปด้วย
5. ออกกำลังกาย
ขณะที่ร่างกายของเราเคลื่อน ไหวนั้นสมองจะได้รับเลือดมากเป็นพิเศษซึ่งนั่นหมายถึงว่าสมองจะได้รับกลูโคส และออกซิเจนมากขึ้นทำให้สมองแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังไปเพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นความจำของสารเคมีในสมองที่ เรียกว่า Brain-Derived Neurotrophic Factor) ให้ ทำงานได้ดีขึ้นด้วย
6. จดบันทึกช่วยจำ
เพราะโดยธรรมชาติของสมองเรา นั้นเมื่อจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งตรงหน้า ความ สามารถในการจดจำสิ่งอื่นก็จะลดลง ฉะนั้นการย้าย ข้อมูลจากสมองมาเก็บไว้ในสมุดบันทึกอย่างคอมพิวเตอร์ ปาล์ม หรือโทรศัพท์มือถือ ก็เหมือสเป็นการช่วยลดความหนาแน่นของข้อมูลหรือเพิ่มพื้นที่ว่าง ในสมองเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
7. ทำสมาธิ
สมองของคนเรานั้นทำงานที่ความ ถี่หรือคลื่นสมองที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ เรากำลังทำหรือคิดอยู่ ภายใต้ความเครียดที่เกิด ขึ้น คลื่นเบต้าของสมองจะทำงานเร็วขึ้นซึ่งจะส่งผล ให้สมองลืมสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นเราควรคิด ให้ช้าลง โดยการทำสมาธิ หลับ ตาลงช้าๆ หายใจเข้าเบาๆ ช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ปลายจมูก จาก นั้นหายใจออกช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ช่องจมูกทางขวา จากนั้นหายใจเข้าอีกครั้ง แต่ ครั้งนี้เวลาผ่อนลมหายใจออกให้ตั้งสติที่ช่องจมูกทางซ้าย ทำเช่นนี้สลับกันประมาณ 10 นาที ทุกวันรับรองว่าสมองตื้อๆ ตันๆ จะกลับมาโล่งโปร่งใสเหมือนเดิม